กำไลคือหัตถาครองพิภพ(ปรอทกินทอง) พระอาจารย์โอพุทธสถานวิหารพระธรรมราชจ.เพชรบูรณ์

หนึ่งในตำนานแห่งศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุแต่โบราณกาลคือปรอทกินเงินและปรอทกินทองกายสิทธิ์ฤทธิ์เลิศบังเกิดเป็นกำไลครองพิภพโดยพระอาจารย์โอพุทโธรักษาปรอทกินทองและปรอทกินเงินนั้นเกิดจากกระบวนการเข้าแทรกซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งในการเล่นแร่แปรธาตุการที่นำเงินกับทองไปซัดในปรอทนั้นเพราะเหตุที่ว่าเมื่อนำธาตุหลายๆอย่างมาสตุหลอมรวมกันแล้วเงินและทองเป็นธาตุที่มีความบริสุทธิ์สูงมากเป็นธาตุที่มีเสน่ห์มีรังสีรัศมีทั้งคู่เลยสามารถเข้าไปควบธาตุชนิดอื่นได้แทบทั้งหมดและด้วยหลักของการเล่นแปรธาตุทองและเงินที่ใช้ในการควบกับธาตุชนิดอื่นนั้นต้องเป็นทองคำและเงินบริสุทธิ์เท่านั้นปรอทกินเงินจะทำได้ยากกว่าปรอทกินทองมากเพราะจุดหลอมเหลวเป็นปัจจัยสำคัญของการเล่นแร่แปรธาตุกำไลครองพิภพนี้มีกรรมวิธีที่ซับซ้อนและยุ่งยากในการทำมากเริ่มด้วยพระอาจารย์โอต้องนำทองคำแท้,ชนวนโลหะศักดิ์สิทธิ์และชนวนโลหะอาถรรพ์ต่างๆมารีดเป็นแผ่นให้บางพอประมาณแล้วจึงทำการจารอักขระด้วยพระคาถามากกว่าหมื่นพระคาถาลงบนแผ่นโละหะศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดซึ่งถือว่าเป็นการรวมวิชาพระเวทย์พระคาถาที่พระอาจารย์โอได้ร่ำเรียนมาทั้งหมดอีกด้วยกล่าวได้ว่าจำนวนแผ่นยันต์ที่พระอาจารย์โอได้จารอักขระเพื่อที่ทำกำไลชุดนี้นั้นมีจำนวนมากมายขนาดที่กองเกือบท่วมหัวได้เลยทีเดียวหลังจากนั้นพระอาจารย์โอจึงได้นำแผ่นโลหะทั้งหมดที่ได้ทำการจารอักขระเรียบร้อยแล้วไปหลอมแล้วจึงนำมารีดเป็นแผ่นและทำการจารอักขระต่างๆอีกพระอาจารย์โอได้ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้งจนโลหะศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดมีคุณสมบัติในการนำไปซัดกับปรอทได้พระอาจารย์โอจึงได้นำโลหะศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดไปซัดในปรอทหลังจากนั้นจึงนำไปสตุแล้วจึงนำไปหลอมสำเร็จเป็นแท่งโลหะศักดิ์สิทธิ์ได้เพียง3แท่งเท่านั้นเครื่องยาที่ใช้ในการควบธาตุต่างๆให้เข้ากันหาได้ยากและมีค่าสูงมากเฉพาะขั้นตอนของการเตรียมโลหะในการทำกำไลชุดนี้ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสิบปีและผ่านกรรมวิธีที่ซับซ้อนและยุ่งยากมากกว่าธาตุทั้งหมดจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวจนหลอมเป็นกำไลคือหัตถาครองพิภพได้เพียงไม่กี่สิบวงเท่านั้นถือว่าเป็นที่สุดของกายสิทธิ์ที่คนมีวาสนาเท่านั้นจักได้ครอบครองใช้ป้องกันเหตุเภทภัยสิ่งไม่ดีอันตรายต่างๆนาๆ นับประการพกไว้เป็นเสน่ห์เมตตาค้าขายเสริมอำนาจวาสนาบารมีผู้ใดได้ครอบครองจะไม่รู้จักกับคำว่าไม่มีไม่ได้ไม่สบายไม่สำเร็จ

The lord of the bracelet (Mercury eat gold) by Phra Arjarn O, Petchabun.
One of the ancient alchemy subject is Mercury eat gold and Mercury eat silver. The name of this bracelet is "The lord of the bracelet". Mercury eat gold and Mercury eat silver are the result of intervasion process in alchemy subject. According to the ancient alchemy subject, Gold and Silver are the important substance which will be used to merge with mercury and others substance because Gold and Silver are the natural mineral which is pure, radiant, and fabulous so, it can merge with others substance effectively. Mercury eat silver is more difficult to build than Mercury eat gold because of the melting point. The lord of the bracelet is very difficult and complex to make according to ancient alchemy subject. First, Phra Arjarn O have to bring pure gold, holy metal and mystic metal to melt and change into plate. Second, Phra Arjarn O have to bring all plate from the first process to write magic word (Yant) on every holy plate which cover all of his magic subject. The amount of holy plate that Phra Arjarn O write magic can be counted more than 10,000 plate. After that, Phra Arjarn O bring all of holy plate that he already wrote magic word to melt together and then change it to be plate and write magic word again. Phra Arjarn O do this process many tims until got the holy metal substance which can used to merge with mercury. After Phra Arjarn O melt holy metal substance and mercury together he have to calcine all holy metal again so, finally only 3 bars which can used to make the lord of bracelet. Phra Arjarn O spend a lot of rare and high valuable magical medicine to merge all holy substances together.
Phra Arjarn O spend times no less than 10 years to prepare the holy metal for the lord of bracelet with many complex process. The lord of bracelet can be called as the most rare miraculous holy thing which depend on destiny for own. Good for protection all bad things, authority, business and charm also. Who have this bracelet will not face with poor, lack, sick, and unsuccess.